คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ Botox ที่ถูกถามมากที่สุด
หากคุณ อยากสวยก็ต้องลงทุน เพราะเดี๋ยวนี้สาว ๆ ก็สวยด้วยเข็มจากหมอกันหมดแล้ว เข็มที่ว่าคือ การฉีด Botox ด้วยมือคุณหมอนั้นเอง เพราะช่วยทำให้หน้านั้น เต่งตึง เรียวยาว และ ทำให้หน้าดูเด็กขึ้นนั้นเอง แต่ก็ยังมีคำถามยอดฮิตที่มีคนสงสัยกันเยอะ เราจึงมาให้คำตอบกันค่ะ
สำหรับผู้หญิงหลายคน ก็ยังอาจมีข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับเรื่อง โบท็อกซ์ (ฺBotox) วันนี้เราจึงได้รวบรวมปัญหาและข้อสงสัยต่างๆ มาตอบข้อสงสัยในเรื่อง โบท็อกซ์ (ฺBotox) ได้กระจ่างกันมากขึ้นค่ะ
- การฉีด โบท็อกซ์ (ฺBotox) ต่างจากการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้าอย่างไร
คำตอบ การฉีด โบท็อกซ์ (ฺBotox) คือการฉีดสารโบท็อกซ์เข้าไป แล้วให้รอยย่นบนใบหน้าในบริเวณที่ฉีดนั้นเรียบตึงขึ้น โดยสารโบท็อกซ์นี้จะอยู่ในร่างกายได้นานอย่างน้อย 4 เดือนหรือมากกว่านั้น แต่เมื่อสารนี้สลายไป รอยย่นก็จะกลับมาเหมือนเดิม
ส่วนการทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้านั้น ต้องใช้เวลานานคือ ใช้เวลาในการผ่าตัดนาน แถมยังต้องเจ็บตัวจากแผลผ่าตัด และมีการพักฟื้นหลังผ่าตัด จนกว่ารอยแผลผ่าตัดจะหายไป
2. หลังจากฉีด Botox แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน?
คำตอบ การฉีดโบท็อกซ์ในแต่ละจุด ก็ส่งผลให้อายุที่เราฉีดตรงนั้นแตกต่างกัน อันนี้หลายคนไม่รู้ แต่ถ้าเราลองฉีดทุกส่วนใบหน้า จะมีอายุไม่เท่ากันกับส่วนอื่น อย่างเช่น
– โบท็อกซ์ (ฺBotox) ลดริ้วรอยบริเวณใบหน้าส่วนบน อยู่ได้ 3 – 6 เดือน
– โบท็อกซ์ (ฺBotox) ลดกราม แขน น่อง อยู่ได้ 6 – 12 เดือน
– โบท็อกซ์ (ฺBotox) ลดกลิ่นตัว ลดเหงื่อ อยู่ได้ 4 – 6 เดือน
– โบท็อกซ์ (ฺBotox) ลดความมันและลดรูขุมขน อยู่ได้ 3 เดือน (เพราะใช้ปริมาณ โบท็อกซ์ (ฺBotox) เจือจางมากกว่าการแก้ไขปัญหาในส่วนอื่น)
- การรักษาด้วย โบท็อกซ์ (ฺBotox) แต่ละครั้ง ให้ผลที่แตกต่างกันหรือไม่
คำตอบ เพื่อให้การรักษาด้วยวิธีนี้ออกมาได้ผลดีที่สุด คุณควรพบแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการรักษารอยย่นด้วย โบท็อกซ์ (ฺBotox) สำหรับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการรักษาด้วยโบท็อกซ์ควรจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องโครงสร้างของใบหน้า เพื่อที่จะสามารถฉีด โบท็อกซ์ (ฺBotox) ให้ใบหน้าคนไข้ออกมาแล้วดูเป็นธรรมชาติที่สุด
- side effects
คำตอบ สำหรับคนไข้บางคน ร่างกายอาจมี side effects เกิดหลังฉีด โบท็อกซ์(ฺBotox) เช่น ปวดหัว หรือคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่มาฉีดและมี side effects จะมีไม่มากนัก มีไม่ถึง 3% ซึ่งแสดงว่าส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแพ้เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมาก็ตาม อาการเหล่านี้ก็จะค่อยๆ หายไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก prakarnclinic
อ่านบทความที่น่าสนใจ